ส่วนที่ 1: ชื่อสารเคมีและข้อมูลเบื้องต้น |
ชื่อเคมี IUPAC Arsenic (III) oxide or Diarsonic trioxide
ชื่อเคมีทั่วไป Arsenic trioxide ชื่อพ้องอื่นๆ Arsenic oxide ; Arsenous trioxide; Arsenous acid; Arsenous oxide; Arsenic sesquioxide; White Arsenic; Diarsenic Trioxide; Crude Arsenic; Arsenic (white); Arsenious oxide; Arsenic (III) trioxide; Arsenous anhydride; Arsenite; Arsenolite; Arsenous acid anhydride; Arsenous oxide anhydride; Arsodent; Claudelite; Claudetite; Arsenic oxide (3); Arsenic oxide (As2O3); Arsenic sesquioxide (As2O3); Arsenicum album ; Diarsenic oxide; ARSENIOUS OXIDE, 99.999%; สูตรโมเลกุล AS2O3 CAS No. 1327-53-3 รหัส EC NO. 033-003-00-0 UN/ID No. 1561 รหัส RTECS CG 3325000 รหัส EUEINECS/ELINCS 215-481-4 ชื่อวงศ์ – ชื่อผู้ผลิต/นำเข้า JT.BAKER Inc. แหล่งข้อมูลอื่นๆ – |
ส่วนที่ 2: องค์ประกอบและข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสม |
||||||
ส่วนประกอบ:
|
ส่วนที่ 3: การใช้ประโยชน์ |
การใช้ประโยชน์ : ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร , ทำโลหะอัลลอยด์ เนื้อสี เซรามิค สารกัดสีในแก้ว สารฆ่าแมลง สารถนอมเนื้อไม้ |
ส่วนที่ 4: ค่ามาตรฐานและความเป็นพิษ |
LD50(มก./กก.) : 14.6 (หนู)(มก./กก.)
LC50(มก./ม3) : – IDLH(ppm) : – ADI(ppm) : – MAC(ppm) : – PEL-TWA(ppm) : 0.012 (ppm) PEL-STEL(ppm) : – PEL-C(ppm) : – TLV-TWA(ppm) : 0.012(ppm) TLV-STEL(ppm) : – TLV-C(ppm) : – พรบ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 : – พรบ. โรงงาน พ.ศ. 2535 : – พรบ. ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 : – พรบ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 : เฉลี่ย 8 ชั่วโมง : สารเคมีอันตราย พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 : ชนิดที่ 4 หน่วยงานที่รับผิดชอบ : กรมโรงงานอุตสาหกรรม |
ส่วนที่ 5: คุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมี |
สถานะ : ผง ผลึก ของแข็ง
สี : ขาว ใส ไม่มีสี กลิ่น : ไม่มีกลิ่น นน.โมเลกุล : 197.84 จุดเดือด(0ซ.) : 465 จุดหลอมเหลว/จุดเยือกแข็ง(0ซ.) : 315 ความถ่วงจำเพาะ(น้ำ=1) : 3.74 ความหนาแน่นไอ(อากาศ=1) : – ความหนืด(mPa.sec) : – ความดันไอ(มม.ปรอท) : – ความสามารถในการละลายน้ำที่(กรัม/100 มล.) : 3.7 ที่ 20 0ซ. ความเป็นกรด-ด่าง(pH) : – แฟคเตอร์แปลงหน่วย 1 ppm = 8.09 มก./ม3 หรือ 1 มก./ม3 = 0.12 ppm ที่ 25 0ซ. ข้อมูลทางกายภาพและเคมีอื่นๆ : – |
มาตรา 6: อันตรายต่อสุขภาพอนามัย |
สัมผัสทางหายใจ : การหายใจเข้าไป สารหนูจะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุมีอาการไอและมีเสมหะ กระสับกระส่าย หายใจติดขัด ปอดบวม และน้ำท่วมปอด ภาวะที่ผิวหนังเป็นสีน้ำเงินเนื่องจากขาดออกซิเจน และเสียงหายใจที่ผิดปกติและมีอาการเหมือนกับการส้มผัสโดยการกินหรือการกลืนเข้าไป
สัมผัสทางผิวหนัง : การสัมผัสถูกผิวหนัง : จะเป็นเหตุให้เกิดการระเคือง อาการผื่นแดง การทำให้คัน และเจ็บปวด กินหรือกลืนเข้าไป : การกลืนหรือกินเข้าไป ทำให้เกิดอาการอาเจียน , ท้องร่วง , หนาวสั่น , ความดันโลหิตต่ำ , อ่อนเพลีย , ปวดศีรษะ , เป็นตะคริว , ชักและเกิดอาการโคมาได้ อาจก่อให้เกิดการทำลายตับและไต อาจทำให้เสียชีวิตได้เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว สัมผัสถูกตา : สัมผัสถูกตา จะทำให้เกิดการระคายเคืองกับทำให้เกิดอาการคัน การไหม้ น้ำตา จะทำให้เยื่อตาขาวถูกทำลาย การก่อมะเร็ง ความผิดปกติ อื่นๆ : สัมผัสเรื้อรัง สัมผัสกับสารหนู (Arsenic)กับผิวหนังบ่อย ๆ เป็นเวลานานจำทำให้ผิวหนังสีอ่อนลง – อาการบวมน้ำ ผิวหนังอักเสบ และเสียหายได้รับบาดเจ็บ – การหายใจเอาฝุ่นเข้าไปบ่อย ๆ หรือเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดอันตรายต่อผนังแบ่งโพรงจมูก – สัมผัสเรื้อรังจากการหายใจเข้าไปหรือกลืนหรือกินเข้าไปจะทำให้ผมร่วง น้ำหนักลด – กลิ่นกระเทียมเมื่อหายใจเข้าและการขับเหงื่อออกมา – น้ำลายและเหงื่อที่ออกมากเกินไป – ระบบเส้นประสาทส่วนกลางถูกทำลาย ตับอักเสบ – อาการปั่นปวนในกระเพาะอาหาร – หลอดเลือดหัวใจถูกทำลาย และไตและตับถูกทำลาย – สารประกอบของสารหนู (Arsenic) รู้ว่าเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์และเป็นสารที่มีผลต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์ |
มาตรา 7: ความคงตัวและการเกิดปฏิกิริยา |
ความคงตัว : คงตัวภายใต้สภาวะปกติของการใช้และการเก็บสารเคมีอันตรายที่เกิดจากการสลายตัวเป็นควันเป็นพิษปลดปล่อยของ arsenic เมื่อได้รับความร้อนเพื่อการแยกออกเป็นส่วนๆ
สารที่เข้ากันไม่ได้ : สารออกซิไดซ์ กรดแทนนิค infusion cinchona และผัก อื่นๆ infusions และ decoctions สารละลายเหล็ก รับปิเดี่ยมคาร์ไบด์ คลอรีนไตรฟลูออไรด์ ฟลูออรีน ไฮโดรเจนฟลูออไรด์ ออกซิเจน ฟลูออไรด์ กรด เบส โซเดียมคลอเรต การถูสังกะสี ปฏิกิริยาโลหะอื่นๆ และ ปรอท สภาวะที่ควรหลีกเลี่ยง: สารที่เข้ากันไม่ได้ สารเคมีอันตรายที่เกิดจากการเผาไหม้หรือสลายตัวเนื่องจากความร้อน : กัดกร่อนโลหะเมื่อได้รับความชื้น อันตรายจากการเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ : จะไม่เกิดขึ้น |
มาตรา 8: การเกิดอัคคีภัยและการระเบิด |
จุดวาบไฟ(0ซ.) : –
จุดลุกติดไฟได้เอง(0ซ.) : – ค่า LEL % : – UEL % : – สารดับเพลิง : ฉีดน้ำให้เป็นฝอย สารเคมีแห้ง แอลกอฮอล์ โฟม หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ – ไม่ต้องพิจารณาอันตรายจากการระเบิด – เพลิงไหม้อาจเกิดขึ้นได้เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นหรือสัมผัสกับแหล่งจุดติดไฟ – ฉีดน้ำให้เป็นฝอยสามารถใช้ควบคุมหล่อเย็นภาชนะที่ถูกเพลิงไหม้ – ในเหตุการณ์เกิดเพลิงไหม้ควรสวมใส่ชุดป้องกันสารเคมี และเครื่องช่วยหายใจชนิดมีถังอากาศในตัว พร้อมกับหน้ากากแบบเต็มหน้า ภาชนะบรรจุที่ปิดผนึกสนิทอาจเกิดระเบิดได้เมื่อได้รับความร้อน |
มาตรา 9: การเก็บรักษา สถานที่เก็บ เคลื่อนย้าย ขนส่ง |
การเก็บรักษา :
– เก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดแน่น – เก็บภายในที่ที่เย็น แห้ง และมีการระบายอากาศพื้นที่ สถานที่เก็บ : – ป้องกันการเสียหายทางกายภาพ – เก็บแยกออกจากสารที่เข้ากันไม่ได้ – ให้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล – สำหรับการบำรุงรักษารอยแตกร้าวภายใน หรือที่ซึ่งมีการสัมผัสในระดับมากเกินกว่าที่กำหนด – เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดสวมใส่ในตอนเลิกงานของแต่ละวัน – อาบน้ำ ทำความสะอาดเสื้อผ้า และรองเท้าที่เปรอะเปื้อนสารเคมีออก – ล้างมือก่อนการกินอาหารและดื่ม หรือไม่กินก็ตาม – ภาชนะบรรจุของสารนี้จะเป็นอันตรายเมื่อถังเปล่ามีกากสารเคมีหลงเหลืออยู่ ( ฝุ่นของแข็ง ) – สังเกตคำเตือนทั้งหมดและข้อควรระมัดระวังที่ระบุไว้สำหรับสารนี้ ข้อมูลการขนส่ง : ชื่อในการขนส่ง : RQ อาเซนิคไตรออกไซด์ ประเภทอันตราย : – หมายเลข UN : 1561 ประเภทการบรรจุหีบห่อ : กลุ่ม II รายงานข้อมูลสำหรับผลิตภัณฑ์ / ขนาด : 500 ML |
มาตราที่ 10: การกำจัดกรณีรั่วไหล |
– วิธีการเมื่อเกิดอุบัติเหตุรั่วไหล ระบายอากาศพื้นที่ที่หกรั่วไหล
– สวมเครื่องมือเป็นการป้องกันส่วนตัวเหมาะสม – เก็บกวาดและบรรจุใส่ภาชนะเพื่อเก็บคืนหรือนำไปกำจัด – การดูดหรือการกวาดขณะชื้นสามารถใช้ได้เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของฝุ่น – ต้องรายงานการหกรั่วไหล การปนเปื้อนดิน น้ำและอากาศมากเกินกว่าปริมาณที่ต้องรายงาน
การพิจารณาการกำจัด : ไม่ว่าสารอะไรก็ตามจะไม่สามารถทำได้อย่างปลอดภัย การนำเอากลับคืนมาใช้ใหม่จะต้องจัดการเช่นเดียวกับกากของเสียและส่งให้ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตในการกำจัดกระบวนการใช้หรือการปนเปื้อนของสารนี้จะต้องเปลี่ยนแนวทางในการจัดการของเสียใหม่ กฏระเบียบข้อบังคับของราชการและท้องถิ่นจะแตกต่างกันจากฎระเบียบการกำจัดของรัฐบาลกลาง การจัดการกับภาชนะบรรจุและมิได้ใช้แล้วจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับกฏหมาย ความต้องการของส่วนกลางและท้องถิ่น |
มาตรา 11: อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล |
ข้อแนะนำการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล(PPD/PPE) : ไม่ระบุไว้ |
มาตรา 12: การปฐมพยาบาล |
หายใจเข้าไป : ถ้าหายใจเข้าได้ให้เคลื่อนย้ายออกไปที่อากาศบริสุทธิ์ ถ้าไม่หายใจ ให้ช่วยผายปอด ถ้าหายใจลำบาก ให้ออกซิเจน รับการดูแลจากแพทย์
กินหรือกลืนเข้าไป : ถ้ากินหรือการกลืนเข้าไป กระตุ้นให้อาเจียนโดยทันทีโดยแพทย์ ห้ามไม่ให้สิ่งใดเข้าปากผู้ป่วยหมดสติ ให้อยู่ในความดูแลของแพทย์โดยทันที สัมผัสถูกผิวหนัง : ถ้าสัมผัสถูกผิวหนัง ให้ฉีดล้างผิวหนังโดยทันทีด้วยน้ำปริมาณมากๆ อย่างน้อย 15 นาที ถอดเสื้อผ้าและรองเท้าที่เปรอะเปื้อนออก ได้รับการดูแลทางการแพทย์โดยทันที ทำความสะอาดเสื้อผ้าและรองเท้าก่อนนำมาใช้อีกครั้ง สัมผัสถูกตา : ถ้าสัมผัสถูกตา ล้างตาโดยทันทีด้วยน้ำปริมาณมากๆ อย่างน้อน 15 นาที ยกเปลือกตาขึ้น ลง นำส่งไปพบแพทย์โดยทันที อื่นๆ : ไม่ระบุไว้ |
มาตรา 13: ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม |
ข้อมูลทางนิเวศวิทยา : ห้ามทิ้งลงสู่แหล่งน้ำ น้ำเสีย หรือดิน , เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำเป็นอันตรายต่อแหล่งน้ำดิบ |
มาตรา 14: การเก็บและวิเคราะห์ |
NMAM NO. : –
OSHA NO. : – วิธีการเก็บตัวอย่าง : – วิธีการวิเคราะห์ : – ข้อมูลอื่น ๆ : – |
มาตรา 15: ขั้นตอนการปฏิบัติงานฉุกเฉิน |
AVERS Guide : 36
DOT Guide : 151 – กรณีฉุกเฉินโปรดใช้บริการระบบให้บริการข้อมูลการระงับอุบัติภัยจากสารเคมีทางโทรศัพท์หรือสายด่วน AVERS ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1650 – ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมโปรดติดต่อ กองจัดการสารอันตรายและกากของเสีย กรมควบคุมมลพิษ โทร 0 2298 2447,0 2298 2457 |
มาตรา 16: ข้อมูลอื่น ๆ |
อ้างอิง: กรมควบคุมมลพิษ 2557 ศูนย์ข้อมูลความปลอดภัยเคมีภัณฑ์ MSDS Database (ออนไลน์)
แหล่งที่มา http://msds.pcd.go.th ธันวาคม 2557 |