Chlorobenzene

ส่วนที่ 1: ชื่อสารเคมีและข้อมูลเบื้องต้น
         ชื่อเคมี IUPAC   Chlorobenzene

        ชื่อเคมีทั่วไป     Phenyl Chloride; Benzene chloride

        ชื่อพ้องอื่นๆ      Benzene chloride; Chlorobenzol; MCB; Monochlorobenzol; Chlorobenzene; Chlorobenzene Mono; Monochlorobenzene

        สูตรโมเลกุล      C6H5Cl

        สูตรโครงสร้าง        สไลด์128

        รหัส IMO   12286089_10207247452278075_1668521281_n

        CAS No.        108-90-7

        รหัส EC NO.    602-033-00-1

        UN/ID No.      1134              

        รหัส RTECS    CZ 0175000

        รหัส EUEINECS/ELINCS         203-628-5

        ชื่อวงศ์  –

        ชื่อผู้ผลิต/นำเข้า           J.T. Baker Inc.

        แหล่งข้อมูลอื่นๆ

ส่วนที่ 2: องค์ประกอบและข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสม
        ส่วนประกอบ:

        ชื่อ         CAS #         น้ำหนักร้อยละ
                 108-90-7         
ส่วนที่ 3: การใช้ประโยชน์
        การใช้ประโยชน์ : ใช้เป็นตัวทำละลาย , ใช้เป็นสารออกซิไดส์ , เป็นตัวทำละลายโพลีคาร์บอเนต
ส่วนที่ 4: ค่ามาตรฐานและความเป็นพิษ
         LD50(มก./กก.) : 1110 (หนู)(มก./กก.)

        LC50(มก./ม3) :      11889.65/ – ชั่วโมง (มก./ม3)

        IDLH(ppm) :     1000(ppm)

        ADI(ppm) :      –

        MAC(ppm) :    –

        PEL-TWA(ppm) :       75(ppm)

        PEL-STEL(ppm) :      –

        PEL-C(ppm) :       –

        TLV-TWA(ppm) :        10(ppm)      

        TLV-STEL(ppm) :     –

        TLV-C(ppm) :      –

        พรบ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 :      –

        พรบ. โรงงาน พ.ศ. 2535 :         –

        พรบ. ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 :                –

        พรบ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 :   –

        พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 :           ชนิดที่ 2

        หน่วยงานที่รับผิดชอบ :            กรมโรงงานอุตสาหกรรม

ส่วนที่ 5: คุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมี
         สถานะ : ของเหลว

        สี : ใส ไม่มีสี

        กลิ่น : คล้ายอัลมอนด์

        นน.โมเลกุล :   112.56

        จุดเดือด(0ซ.) :  132

        จุดหลอมเหลว/จุดเยือกแข็ง(0ซ.) : -45

        ความถ่วงจำเพาะ(น้ำ=1) :        1.11

        ความหนาแน่นไอ(อากาศ=1) :    3.88

        ความหนืด(mPa.sec) :     –

        ความดันไอ(มม.ปรอท) :  11.8 ที่ 20 0ซ.

        ความสามารถในการละลายน้ำที่(กรัม/100 มล.) :  ไม่ละลายน้ำ

        ความเป็นกรด-ด่าง(pH) :  –

        แฟคเตอร์แปลงหน่วย 1 ppm =     4.01

        มก./ม3 หรือ 1 มก./ม3 =         0.22 ppm ที่ 25 0ซ.

        ข้อมูลทางกายภาพและเคมีอื่น ๆ :   สารนี้สามารถละลายได้ดีมากในเอทานอล

มาตรา 6: อันตรายต่อสุขภาพอนามัย
        สัมผัสทางหายใจ การหายใจเข้าไปจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการไอ หายใจถี่รัว มีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางทำให้เวียนศีรษะ เกิดการทำงานไม่ประสานกันของกล้ามเนื้อ และหมดสติ

        สัมผัสทางผิวหนัง สัมผัสถูกผิวหนัง  จะก่อให้เกิดการระคายเคือง เกิดผื่นแดงคัน และอาการเจ็บปวด สารนี้สามารถถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้อย่างช้า ๆ ทำให้เกิดผลต่อระบบของร่างกายได้

        กินหรือกลืนเข้าไป การกินเข้าไปเป็นสาเหตุให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง และมีผลเหมือนกับการหายใจเอาสารนี้เข้าไป

        สัมผัสถูกตา การสัมผัสถูกตา ไอระเหยของสารจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา เกิดแผลไหม้และเกิดการทำลายตาได้

        การก่อมะเร็ง ความผิดปกติ อื่นๆ สัมผัสเรื้อรัง การสัมผัสนาน ๆ หรือเป็นประจำ อาจก่อให้เกิดอาการอักเสบที่ผิวหนัง หรือแผลไหม้บริเวณผิวหนัง รวมถึงตับ ไต ระบบประสาทส่วนกลาง ต่อมไทมัส ม้าม ไขกระดูก อัณฑะ หรือปอดถูกทำลายได้

มาตรา 7: ความคงตัวและการเกิดปฏิกิริยา
         ความคงตัว : สารนี้มีความเสถียรภายใต้ภาวะปกติของการใช้งานและการเก็บรักษา

        สารที่เข้ากันไม่ได้ : สารออกซิไดซ์ ไดเมททิล ซัลฟอกไซด์ (Dimethyl sulfoxide)

        สภาวะที่ควรหลีกเลี่ยง : ความร้อน เปลวไฟ แหล่งจุดติดไฟ อากาศและสารที่เข้ากันไม่ได้

        สารเคมีอันตรายที่เกิดจากการสลายตัว : ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไฮโดรเจนคลอไรด์ และฟอสจีน

        อันตรายจากการเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ : จะไม่เกิดขึ้น

        การกัดกร่อนของโลหะ : ไม่ระบุไว้

มาตรา 8: การเกิดอัคคีภัยและการระเบิด
         จุดวาบไฟ(0ซ.) :            28

        จุดลุกติดไฟได้เอง(0ซ.) :    590

        ค่า LEL % :     1.3

        UEL % :         9.6

        NFPA Code :   12286090_10207280455623138_1983312831_n

        สารดับเพลิง : ผงเคมีแห้ง โฟมโพลีเมอร์ หรือ คาร์บอนไดออกไซด์

                – การระเบิด : ส่วนผสมไอระเหยกับอากาศอาจจะเกิดการระเบิดได้ภายใต้ขีดจำกัดความไวไฟที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดวาบไฟ

                – ภาชนะบรรจุที่ปิดผนึกอาจเกิดระเบิดได้เมื่อได้รับความร้อน

                – ไอระเหยสามารถไหลไปบนพื้นสู่แหล่งจุดติดไฟ และเกิดไฟย้อนกลับมาได้

                – เมื่อสัมผัสกับสารที่เข้ากันไม่ได้จะทำให้เกิดอันตราย

                – ว่องไวต่อประจุไฟฟ้าสถิตย์

                – สารเคมีอันตรายที่เกิดจากการสลายตัวเนื่องจากความร้อน : ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนออกไซด์ ไฮโดรเจนคลอไรด์ และฟอสจีน

                – ใช้การฉีดน้ำเป็นฝอยเพื่อหล่อเย็นภาชนะบรรจุที่ถูกเพลิงไหม้

                – ใช้น้ำฉีดล้างส่วนที่หกรั่วไหลออกจากบริเวณที่สัมผัสเพื่อเจือจางส่วนที่หกรั่วไหลให้เป็นส่วนผสมที่ไม่ไวไฟ

                – ในเหตุการณ์เกิดเพลิงไหม้ ให้สวมใส่ชุดป้องกันสารเคมีและอุปกรณ์ช่วยหายใจชนิดมีถังอากาศในตัว (SCBA) พร้อมกับหน้ากากแบบเต็มหน้า

มาตรา 9: การเก็บรักษา สถานที่เก็บ เคลื่อนย้าย ขนส่ง
         การเก็บรักษา :

                – เก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิด

                – เก็บในที่เย็น และแห้งมีการระบายอากาศที่ดี

                – ป้องกันการเกิดความเสียหายทางกายภาพ

        สถานที่เก็บ :

                – เก็บห่างจากที่ซึ่งอาจเกิดจากอันตรายจากอัคคีภัย และสารออกซิไดส์

                – เก็บไว้ภายนอกอาคารหรือแยกเก็บในห้องเก็บให้เหมาะสม

                – แยกออกจากสารที่เข้ากันไม่ได้

                – ภาชนะบรรจุจะต้องต่อสายเชื่อม (Bonded) และต่อสายดินขณะถ่ายเทสารนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงประกายไฟฟ้าสถิตย์

                – บริเวณสถานที่เก็บและสถานที่ใช้ต้องกันไว้ไม่ให้มีการสูบบุหรี่

                – ภาชนะบรรจุสารนี้เป็นถังที่เปล่าแต่มีกากสารเคมีที่ตกค้างอยู่ เช่น ไอระเหย หรือของเหลว อาจก่อให้เกิดอันตรายได้

                – ให้ดูป้ายเตือนและข้อควรระมัดระวังอันตรายของสารนี้ทั้งหมด

        ข้อมูลการขนส่ง :

                ชื่อในการขนส่ง : คลอเบนซีน (Chlorobenzene)

                ประเภทอันตราย : 3

                หมายเลข UN : UN  1134

                ประเภทการบรรจุหีบห่อ : กลุ่ม III

                ขนาดผลิตภัณฑ์ : 20 ลิตร

มาตราที่ 10: การกำจัดกรณีรั่วไหล
         – วิธีการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุรั่วไหล ให้ระบายอากาศพื้นที่ที่หกรั่วไหล

        – เคลื่อนย้ายแหล่งจุดติดไฟทั้งหมดออกไป

        – ให้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่เหมาะสม

        – กั้นแยกพื้นที่อันตรายออก

        – ห้ามไม่ให้บุคคลที่ไม่มีหน้าที่จำเป็นและไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเข้าไป

        – เก็บและเอาของเหลวคืนกลับมาใช้ใหม่ถ้าเป็นไปได้

        – ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ไม่ทำให้เกิดประกายไฟ

        – เก็บรวบรวมส่วนที่หกรั่วไหลใส่ในภาชนะบรรจุที่เหมาะสมหรือดูดซับด้วยวัสดุเฉื่อย เช่น แร่หินทราย (vermiculite) ทรายแห้ง และเก็บใส่ในภาชนะบรรจุกากของเสียจากเคมี

        – อย่าใช้วัสดุที่ติดไฟได้เป็นตัวดูดซับ เช่น ขี้เลื่อย

        – อย่าฉีดล้างลงท่อระบายน้ำ ถ้าสารที่หกรั่วไหลยังไม่ลุกติดไฟ ให้ใช้น้ำฉีดเป็นฝอยเพื่อสลายกลุ่มไอระเหย เพื่อป้องกันบุคคลที่พยายามจะเข้าไปหยุดการรั่วไหล และฉีดล้างส่วนที่หกรั่วไหลออกจากการสัมผัสๆ

        การกำจัด : ไม่ควรนำกลับมาใช้ใหม่ ควรนำไปกำจัดในเตาเผาที่ได้ความเห็นชอบจากทางราชการ

มาตรา 11: อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
12305827_10207269043297837_1584498643_n12277978_10207269044017855_554821809_n12309291_10207269044297862_182124300_n12286194_10207269044497867_168388570_n12282808_10207269089578994_74654600_n

         ข้อแนะนำการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล(PPD/PPE) : ประเภทหน้ากากป้องกันระบบหายใจ

               – สารที่ช่วงความเข้มข้นไม่เกิน 1000 ppm : ให้ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจประเภทที่ใช้การส่งอากาศสำหรับการหายใจ ซึ่งมีอัตราการไหลของอากาศแบบต่อเนื่อง โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่มีค่า APF. = 25 หรือ ให้ใช้อุปกรณ์ทำให้อากาศบริสุทธิ์ (Air – purifying respirator) ซึ่งใช้สารเคมีประเภทที่เหมาะสมเป็นตัวดูดซับในการกรอง (Cartridge) โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่มีค่า APF. = 25 หรือ ให้เลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ ซึ่งใช้สารเคมีประเภทที่เหมาะสมเป็นตัวดูดซับในการกรอง (Cartridge) พร้อมหน้ากากแบบเต็มหน้า โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่มีค่า APF. = 50 หรือ ให้ใช้อุปกรณ์ทำให้อากาศบริสุทธิ์ (Air – purifying respirator) พร้อมหน้ากากแบบเต็มหน้า (gas mask) ซึ่งมี canister สำหรับป้องกันไอระเหยของสารอินทรีย์ โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่มีค่า APF. = 50 หรือให้ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจชนิดที่มีถังอากาศในตัว (SCBA) พร้อมหน้ากากแบบเต็มหน้า โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่มีค่า APF. = 50

              – ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือการเข้าไปสัมผัสกับสารที่ไม่ทราบช่วงความเข้มข้น หรือการเข้าไปในบริเวณที่มีสภาวะอากาศที่เป็น IDLH : ให้ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจชนิดที่มีถังอากาศในตัว (SCBA) พร้อมหน้ากากแบบเต็มหน้า ซึ่งมีการทำงานแบบความดันภายในเป็นบวก ( pressure-demand / positive pressure mode) โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่มีค่า APF. = 10,000 หรือให้ใช้อุปกรณ์ส่งอากาศสำหรับการหายใจ (Supplied – air respirator) พร้อมหน้ากากแบบเต็มหน้า ซึ่งมีการทำงานแบบความดันภายในเป็นบวก ( pressure-demand / positive pressure mode) หรือแบบที่ใช้การทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ช่วยหายใจชนิดมีถังอากาศในตัว และแบบความดันภายในเป็นบวก (combination with an auxiliary self-contained positive-pressure breathing apparatus) โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่มีค่า APF. = 10,000

               – ในกรณีการหลบหนีออกจากสถานการณ์ฉุกเฉิน : ให้ใช้อุปกรณ์ทำให้อากาศบริสุทธิ์ (Air – purifying respirator) พร้อมหน้ากากแบบเต็มหน้า อุปกรณ์กรองอนุภาพประสิทธิภาพสูง (HEPA filter) หรือให้ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับในกรณีการหลบหนีออกจากสถานการณ์ฉุกเฉินพร้อมอุปกรณ์ช่วยหายใจชนิดมีถังอากาศในตัว (SCBA) โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่มีค่า APF. = 50

มาตรา 12: การปฐมพยาบาล
         หายใจเข้าไป :     ถ้าหายใจเข้าไปให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ช่วยผายปอด ถ้าผู้ป่วยหายใจลำบาก ให้ออกซิเจนช่วย นำส่งไปพบแพทย์

        กินหรือกลืนเข้าไป :       ถ้ากลืนหรือกินเข้าไป ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตามปริมาณมาก ห้ามไม่ให้นำสิ่งใดเข้าปากผู้ป่วยที่หมดสติ นำส่งไปพบแพทย์

        สัมผัสถูกผิวหนัง :           ถ้าสัมผัสถูกผิวหนัง ให้ฉีดล้างผิวหนังทันทีด้วยน้ำและสบู่ปริมาณมาก ๆ อย่างน้อย 15 นาที พร้อมกระพริบตาถี่ๆขณะทำการล้าง นำส่งไปพบแพทย์

        สัมผัสถูกตา :      สัมผัสถูกตา ล้างตาโดยทันทีด้วยน้ำปริมาณมาก ๆ อย่างน้อย 15 นาที ยกเปลือกตาขึ้นลง นำส่งไปพบแพทย์โดยทันที

        อื่นๆ : ไม่ระบุไว้

มาตรา 13: ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
         ข้อมูลทางนิเวศวิทยา :

                – สิ่งแวดล้อมถูกทำลายเสียหาย เมื่อรั่วไหลสู่ดิน

                – สารนี้ระเหยเหลือความเข้มข้นปานกลางเมื่อรั่วไหลสู่ดิน

                – สารนี้ไม่สามารถคาดได้ว่าจะสลายตัวทางชีวภาพได้เมื่อรั่วไหลสู่ดิน

                – สารนี้จะถูกชะล้างลงสู่น้ำใต้ดิน เมื่อรั่วไหลลงสู่ดิน

                – สารนี้คาดว่าจะมีการระเหยอย่างรวดเร็ว เมื่อรั่วไหลสู่น้ำ

                – สารนี้คาดว่าจะมีการสลายตัวไปครึ่งหนึ่ง (half-life) ภายในเวลาน้อยกว่า 1 วัน เมื่อรั่วไหลสู่น้ำ

                – สารนี้ไม่สามารถคาดได้ว่าจะสลายตัวทางชีวภาพได้เมื่อรั่วไหลลงสู่ดิน

                – สารนี้ไม่สามารถคาดได้ว่าจะสะสมสิ่งมีชีวิตได้ เมื่อรั่วไหลสู่อากาศ

                – สารนี้จะสลายตัวเหลือความเข้มข้นปานกลางโดยทำปฏิกิริยากับสารไฮดรอกซิล เรดิเคิล ที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีกับแสง เมื่อรั่วไหลสู่อากาศ

                – สารนี้คาดว่าจะมีการสลายตัวไปครึ่งหนึ่ง (half-life) ภายในเวลา 1-10 วัน

                – ความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม : ค่าความเข้มข้นที่ทำให้ปลาตาบกว่าร้อยละ 50 (LC50)ภายใน 96 ชั่วโมงมีค่าประมาณ 10-100 มิลลิกรัมต่อลิตร

                – สารนี้คาดว่าจะเป็นพิษน้อยมากต่อสัตว์น้ำและพืชน้ำ

มาตรา 14: การเก็บและวิเคราะห์
         NMAM NO. :  1003

        OSHA NO. :    07

        วิธีการเก็บตัวอย่าง :     

        วิธีการวิเคราะห์ :         

        ข้อมูลอื่น ๆ : 

                – การเก็บตัวอย่างใช้ coconut shell charcoal 100 mg./50 mg.

                – อัตราการไหลสำหรับเก็บตัวอย่าง 0.01 ถึง 0.2 ลิตรต่อนาที

 

มาตรา 15: ขั้นตอนการปฏิบัติงานฉุกเฉิน
        AVERS Guide :          18

        DOT Guide :               130

        – กรณีฉุกเฉินโปรดใช้บริการระบบให้บริการข้อมูลการระงับอุบัติภัยจากสารเคมีทางโทรศัพท์หรือสายด่วน AVERS ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1650

        – ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมโปรดติดต่อ กองจัดการสารอันตรายและกากของเสีย กรมควบคุมมลพิษ โทร 0 2298 2447,0 2298 2457

มาตรา 16: ข้อมูลอื่น ๆ
        อ้างอิง: กรมควบคุมมลพิษ 2557 ศูนย์ข้อมูลความปลอดภัยเคมีภัณฑ์ MSDS Database (ออนไลน์)

        แหล่งที่มา http://msds.pcd.go.th ธันวาคม 2557