ส่วนที่ 1: ชื่อสารเคมีและข้อมูลเบื้องต้น |
ชื่อเคมี IUPAC Trichloromethane
ชื่อเคมีทั่วไป Chloroform ชื่อพ้องอื่นๆ Methyl trichloride; Chloroform; Refrigerant R20; Formyl trichloride; Methane trichloride; Methenyl trichloride; Trichloroform; R 20; R 20 (refrigerant); Chloroform สูตรโมเลกุล CHCl3 CAS No. 67-66-3 รหัส EC NO. 602-006-00-4 UN/ID No. 1888 รหัส RTECS FS 9100000 รหัส EUEINECS/ELINCS 200-633-8 ชื่อวงศ์ – ชื่อผู้ผลิต/นำเข้า – แหล่งข้อมูลอื่นๆ – |
ส่วนที่ 2: องค์ประกอบและข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสม |
||||||
ส่วนประกอบ:
|
ส่วนที่ 3: การใช้ประโยชน์ |
การใช้ประโยชน์ : ใช้เป็นตัวทำละลายสกัดสาร,เป็นตัวทำละลายสารโพลีคาร์บอเนตและสารอื่นๆ |
ส่วนที่ 4: ค่ามาตรฐานและความเป็นพิษ |
LD50(มก./กก.) : 908 (หนู)(มก./กก.)
LC50(มก./ม3) : 47702/ 4 ชั่วโมง(มก./ม3) IDLH(ppm) : 500(ppm) ADI(ppm) : – MAC(ppm) : – PEL-TWA(ppm) : 2(ppm) PEL-STEL(ppm) : – PEL-C(ppm) : 50(ppm) TLV-TWA(ppm) : 10(ppm) TLV-STEL(ppm) : – TLV-C(ppm) : – พรบ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 : – พรบ. โรงงาน พ.ศ. 2535 : – พรบ. ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 : – พรบ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 : – พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 : ชนิดที่ 3 หน่วยงานที่รับผิดชอบ : กรมโรงงานอุตสาหกรรม |
ส่วนที่ 5: คุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมี |
สถานะ : ของเหลว
สี : ไม่มีสี กลิ่น : กลิ่นอีเทอร์ นน.โมเลกุล : 119.38 จุดเดือด(0ซ.) : 62 จุดหลอมเหลว/จุดเยือกแข็ง(0ซ.) : -63.5 ความถ่วงจำเพาะ(น้ำ=1) : 1.48 ความหนาแน่นไอ(อากาศ=1) : 4.1 ความหนืด(mPa.sec) : 0.56 ความดันไอ(มม.ปรอท) : 160 ที่ 20 0ซ. ความสามารถในการละลายน้ำที่(กรัม/100 มล.) : 0.8 ที่ 200ซ. ความเป็นกรด-ด่าง(pH) : – แฟคเตอร์แปลงหน่วย 1 ppm = 4.88 มก./ม3 หรือ 1 มก./ม3 = 0.21 ppm ที่ 250ซ. ข้อมูลทางกายภาพและเคมีอื่นๆ : – |
มาตรา 6: อันตรายต่อสุขภาพอนามัย |
สัมผัสทางหายใจ : การหายใจเข้าไปทำให้ร่างกายหมดความรู้สึกหรือสลบได้ทำให้ระคายเคืองต่อระบบการหายใจ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ถ้าหายใจเอาสารที่ความเข้มข้นสูงเข้าไปจะทำให้หมดสติ และถึงตายได้ ทำให้ไตถูกทำลาย ความผิดปกติของระบบเลือด การสัมผัสเป็นระยะเวลานาน จะทำนำไปสู่ความตายได้ ทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ ตับ และไตผิดปกติ
สัมผัสทางผิวหนัง : การสัมผัสถูกผิวหนัง ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนัง มีผื่นแดงและมีอาการเจ็บปวด ทำลายน้ำมันธรรมชาติในร่างกาย สารนี้สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ กินหรือกลืนเข้าไป : การกลืนหรือกินเข้าไปจะทำให้เกิดแผลไหม้บริเวณปาก,ลำคอ ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก และอาเจียนได้ การกลืนเข้าไปในปริมาณมาก จะก่อให้เกิดอาการคล้ายกับการหายใจเข้าไป สัมผัสถูกตา : การสัมผัสถูกตา ไอระเหยของสารเคมีนี้จะทำให้เกิดการเจ็บปวดและระคายเคืองต่อตา ถ้าสารเคมีกระเด็นเข้าตา จะทำให้เกิดระคายเคืองอย่างรุนแรง และอาจทำให้ตาบอดได้ การก่อมะเร็ง ความผิดปกติ อื่นๆ : อาการ: ถ้าสัมผัสไอระเหยของสารนี้เป็นระยะเวลานานหรือสัมผัสถูกสารเคมีบ่อยๆอาจจะทำให้ระบบประสาทส่วนกลาง หัวใจ ตับ และไต ถูกทำลายได้ ผลกระทบจากการสัมผัสกับของเหลวจะทำให้ไขมันถูกทำลายลง อาจจะทำให้ผิวหนังมีการระคายเคืองเรื้อรัง ทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดผิวหนังอักเสบได้ สารคลอโรฟอร์มนี้ถูกสงสัยว่าจะเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ |
มาตรา 7: ความคงตัวและการเกิดปฏิกิริยา |
ความคงตัว : สารนี้จะเสถียรภายใต้การใช้และการเก็บอย่างปกติ
สารที่เข้ากันไม่ได้ : สารที่มีความกัดกร่อนอย่างรุนแรงและสารเคมีที่มีความว่องไว เช่น อลูมิเนียม ผงแมกนีเซียม โซเดียม หรือ โพแทสเซียม อะซิโตน ฟูโอลีนเมทธานอล โซเดียมเมททอกไซด์ ไดไนโตรเจน เตตตอกไซด์ เทิร์ท-บิวตอกไซด์ ไตร์ไอโซพิลฟอสไฟด์ สภาวะที่ควรหลีกเลี่ยง: หลีกเลี่ยงแสง ความร้อน อากาศ และสารที่เข้ากันไม่ได้ สารเคมีอันตรายที่เกิดจากการเผาไหม้หรือสลายตัวเนื่องจากความร้อน : เมื่อมีการสลายตัวจากความร้อน อาจก่อให้เกิดคาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนคลอไรด์ และฟลอจีน – อันตรายจากปฏิกิริยาโพลิเมอร์เซชั่น: ไม่เกิดอันตราย -เมื่อเปิดทิ้งไว้ในที่ที่มีแสง เป็นระยะเวลานานทำให้ pH ลดลง เนื่องจากการเกิดสารไฮโดรคลอลิก(HCI) อันตรายจากการเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ : จะไม่เกิดขึ้น |
มาตรา 8: การเกิดอัคคีภัยและการระเบิด |
จุดวาบไฟ(0ซ.) : –
จุดลุกติดไฟได้เอง(0ซ.) : – ค่า LEL % : – UEL % : – สารดับเพลิง : ไม่ระบุไว้ – สารนี้ไม่ไวไฟ – อาจเกิดเพลิงไหม้ได้เมื่อสัมผัสกับความร้อนสูง – สารดับเพลิง ใช้วิธีการที่เหมาะสมสำหรับการดับเพลิงโดยรอบ – ในเหตุการณ์เกิดเพลิงไหม้สวมใส่ชุดป้องกันสารเคมีและอุปกรณ์ช่วยหายใจชนิดมีถังอากาศในตัว (SCBA) พร้อมกับหน้ากากแบบเต็มหน้า |
มาตรา 9: การเก็บรักษา สถานที่เก็บ เคลื่อนย้าย ขนส่ง |
การเก็บรักษา :
– เก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิด ต้านทางแสงแดด – เก็บในที่เย็น แห้งและมีการระบายอากาศที่ดี – ป้องกันความเสียหายทางกายภาพ – แยกออกจากสารที่เข้ากันไม่ได้ สถานที่เก็บ : – ให้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายสำหรับงานบำรุงรักษาหรือในที่ซึ่งต้องสัมผัสกับสารเคมีนี้ในปริมาณมากเกิน – ภาชนะบรรจุสารนี้อาจเกิดอันตรายได้เมื่อเป็นถังว่างเปล่าเนื่องจากสารเคมีที่ตกค้างทั้งไอระเหยและของเหลวให้สังเกตป้ายเตอนและข้อระมัดระวังสำหรับสารนี้ทั้งหมด ข้อมูลการขนส่ง : ชื่อในการขนส่ง : คลอโรฟอร์ม (Cholroform) ประเภทอันตราย : 6.1 หมายเลข UN : 1888 ประเภทการบรรจุหีบห่อ : กลุ่ม III รายงานข้อมูลสำหรับผลิตภัณฑ์ / ขนาด : 4 ลิตร |
มาตราที่ 10: การกำจัดกรณีรั่วไหล |
– วิธีการเมื่อเกิดอุบัติเหตุรั่วไหล ให้ระบายอากาศพื้นที่ที่หกรั่วไหล
– สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนตัวที่เหมาะสม – ให้กั้นแยกพื้นที่ที่มีอันตรายออก – ไม่จำเป็นต้องควบคุมและปกป้องบุคคลที่จะเข้าไป – ให้เก็บและเอาของเหลวคืนกลับมาใช้ใหม่ถ้าเป็นไปได้ – เก็บรวบรวมของเหลวในภาชนะบรรจุที่เหมาะสมหรือดูดซับด้วยวัตถุเฉี่อยในการดูดซับสาร เช่น แร่หินทราย (vermiculite) ทรายแห้ง ดิน(earth)และเก็บใส่ในภาชนะบรรจุกากของเสียจากเคมี อย่าใช้วัสดุติดไฟได้ เช่นขี้เลื่อย – อย่าฉีดล้างลงท่อระบายน้ำ ให้มีการรายงานการหกรั่วไหลสู่ดิน น้ำ และอากาศมากเกินกว่าปริมาณที่ต้องรายงาน การกำจัด : วิธีการกำจัด ให้กำจัดตามข้อกำหนด กฎระเบียบของทางราชการกำหนดไว้ |
มาตรา 12: การปฐมพยาบาล |
หายใจเข้าไป : ถ้าหายใจเข้าไป ควรเคลื่อนย้ายออกไปอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ช่วยผายปอด ถ้าผู้ป่วยหายใจลำบาก ควรให้ออกซิเจน และนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล
กินหรือกลืนเข้าไป : ถ้ากินหรือกลืนเข้าไป อย่ากระตุ้นให้เกิดอาเจียน ควรให้น้ำปริมาณมากๆ ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ห้ามไม่ให้สิ่งใดเข้าปากและให้อยู่ในความดูแลของแพทย์โดยทันที สัมผัสถูกผิวหนัง : สัมผัสถูกผิวหนังให้ฉีดล้างผิวหนังโดยทันทีด้วยน้ำปริมาณมากๆอย่างน้อย 15 นาที และถอดเสื้อผ้าและรองเท้าที่เปรอะเปื้อนสารเคมีออก ทำความสะอาดเสื้อผ้าและรองเท้าก่อนนำมาใช้อีกครั้ง สัมผัสถูกตา : ถ้าสัมผัสถูกตาให้ล้างตาทันทีด้วน้ำปริมาณมากๆอย่างน้อย 15 นาที พร้อมกระพริบตาถี่ๆ ขณะทำการล้าง นำส่งไปพบแพทย์ อื่นๆ : นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลและควรแจ้งอาการให้แพทย์ เนื่องจากผู้ป่วยควรได้รับการรักษาภายใน 24-48 ชั่วโมง เพราะอาจจะทำให้มีผลกระทบต่อไต และตับได้ ของเหลวที่อยู่ภายในไตไม่สามารถช่วยป้องกันสารเคมีได้ ซึ่งสังเกตได้จากการนำน้ำปัสสาวะของผู้ป่วยมาวิเคราะห์และทดสอบกลูโคสที่อยู่ในเลือด เอ็กซเรย์หน้าอก และตรวจสอบสถานะของไหล/อิเล็กโตรไลท์ ไดฟัลฟิรัม ซึ่งอยู่ในเมตตาบยอลิซึม และอาหารของผู้ป่วยที่มี คาร์บอไฮเดตรสูง จะสามารถป้องกันและต่อต้านสารพิษจากคลอโฟอร์มได้ โดยที่ไม่จะเป็นต้องให้น้ำเกลือ ตรวจสอบได้จากการเพิ่มขึ้นของบิลิโรบิน |
มาตรา 13: ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม |
– ข้อมูลทางนิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อมถูกทำลายเสียหาย เมื่อรั่วไหลสู่ดิน
– สารนี้คาดว่าจะถูกชะล้างลงสู่น้ำใต้ดิน – สารนี้คาดว่าจะมีการระเหยอย่างรวดเร็ว เมื่อรั่วไหลสู่น้ำ – สารนี้คาดว่าจะมีการสลายตัวไปครึ่งหนึ่ง (halrtife) ภายในเวลาน้อยกว่า 1-10 วัน – คลอโรฟอร์มจะมีลอกออกทนนอลน้อยกว่า 3 ของสัมประสิทธิ์ส่วนของน้ำ – สารนี้ไม่สามารถคาดได้ว่าจะสะสมสิ่งมีชีวิตได้เมื่อรั่วไหลสู่อากาศ – สารนี้จะสลายตัวได้ปานกลางโดยทำปฏิกิริยากับสารไฮดรอกซิล เรดิคอล ที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีกับแสง เมื่อรั่วไหลสู่อากาศ – สารนี้จะสลายตัวโดยการสังเคราะห์แสงได้ปานกลาง เมื่อรั่วไหลสู่อากาศ – สิ่งของนี้ถูกขนย้ายจากบรรยากาศเมื่อรั่วไหลสู่อากาศ – สารนี้คาดว่าจะมีการสลายตัวไปครึ่งหนึ่ง (halrtife) ภายในเวลามากกว่า 30 วัน – ความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม: สารนี้เป็นพิษต่อสิ่งมีชิวิตในน้ำ – ค่าความเข้มข้นที่ทำให้ปลาตายกว่าร้อยละ 50 LC 50ภายใน 96 ชั่วโมงมีค่ามากกว่า 1-100 มิลลิกรัมต่อลิตร |
มาตรา 14: การเก็บและวิเคราะห์ |
NMAM NO. : 1003
OSHA NO. : ไม่ระบุไว้ วิธีการเก็บตัวอย่าง : หลอดเก็บตัวอย่าง วิธีการวิเคราะห์ : แก๊ซโครมาโตกราฟฟี ข้อมูลอื่น ๆ : – การเก็บตัวอย่างใช้ : coconut shell charcoal 100mg/ 50 mg – อัตราการไหลสำหรับเก็บตัวอย่าง : 0.01-0.2 ลิตรต่อนาที |
มาตรา 15: ขั้นตอนการปฏิบัติงานฉุกเฉิน |
AVERS Guide : 36
DOT Guide : 151 – กรณีฉุกเฉินโปรดใช้บริการระบบให้บริการข้อมูลการระงับอุบัติภัยจากสารเคมีทางโทรศัพท์หรือสายด่วน AVERS ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1650 – ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมโปรดติดต่อ กองจัดการสารอันตรายและกากของเสีย กรมควบคุมมลพิษ โทร 0 2298 2447,0 2298 2457 |
มาตรา 16: ข้อมูลอื่น ๆ |
อ้างอิง: กรมควบคุมมลพิษ 2557 ศูนย์ข้อมูลความปลอดภัยเคมีภัณฑ์ MSDS Database (ออนไลน์)
แหล่งที่มา http://msds.pcd.go.th ธันวาคม 2557 |